แน่นอนว่าสาวๆส่วนใหญ่มักชอบทานของหวาน หรืออาหารหวานมากกว่าผู้ชาย แต่ภายในความหวานนั้นก็ต่างแฝงไปด้วยอันตราย ที่สามารถเกิดกับร่างกายได้ ทั้งโรคอ้วน น้ำหนักเพิ่ม อินซูลินผิดปกติ ตับทำงานหนัก ฟันผุ แก่ก่อนวัน และขั้นหนักเสพติดรสหวาน วันนี้ gangbeauty จึงนำ 10 สัญญาณเตือนสุขภาพว่าคุณกำลังเข้าข่ายติดอาหารรถสหวานหรือเปล่ามาให้อ่านกันค่ะ !!!
1. ขาดน้ำตาลหรือความหวานไม่ได้
หากชื่นชอบการเติมน้ำตาลเป็นชีวิตจิตใจถึงขั้นที่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเติมลงในกับข้าว ก๋วยเตี๋ยว ชา กาแฟ และอาหารแทบทุกอย่างที่เรากินเข้าไปแล้วล่ะก็ นั่นส่อแววชัดเจนเลยว่าเรากำลังเกิดอาการติดหวาน และอีกไม่นานโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือด
2. รู้สึกปวดหัวเมื่อไม่ได้รับประทานของหวาน
หากเช้าวันใดที่ไม่ได้รับประทานของหวานแล้วเกิดอาการปวดหัว ลองทำเช่นเดิมดูอีกครั้งในวันถัดๆไป แล้วดูผลลัพธ์ที่ได้ว่าเราเกิดอาการปวดหัวเหมือนเดิมอีกหรือไม่ ถ้าคำตอบออกมาคือใช่ นั่นแสดงว่าสาวๆ เกิดอาการติดหวานขั้นรุนแรงแล้ว
3. รับรู้รสชาติความหวานเปลี่ยนไปจากเดิม
ยิ่งกินหวานมากขึ้นเท่าไหร่ ร่างกายของเราก็จะรับรู้ความหวานของสิ่งที่กินเข้าไปได้ผิดเพี้ยนมากขึ้นเท่านั้น นั่นก็คืออาการที่เรารู้สึกว่ายังไม่หวานเลย ยังไม่หวานเท่าไหร่ ยังหวานได้มากกว่านี้อีก หรือถ้าหวานกว่านี้จะยิ่งอร่อย เหล่านี้ล้วนบ่งบอกถึงการติดหวานของสาวๆ ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
4. ทั่วทั้งบ้านมีแต่ขนมหวาน
ถ้าหากทั้งในตู้เย็น ในครัว บนโต๊ะกินข้าว หรือแม้กระทั่งเตียงนอนของสาวๆ ก็ล้วนมีขนมหวานมากมายซุกซ่อนไว้ หรืออาจเป็นที่ใดที่หนึ่งในบ้านที่เป็นดั่งขุมสมบัติขนาดย่อมที่เต็มไปด้วยขนมหวานแล้วล่ะก็ นั่นย่อมบ่งบอกถึงอาการติดหวานขั้นรุนแรงที่สาวๆ ควรหาวิธีแก้ไขโดยด่วน
5. โปรดปรานอาหารประเภทไร้ไขมัน
เคยสังเกตไหมว่าอาหารประเภทไร้ไขมันหรือ No Fat นั้นจะมีรสชาติที่หวานขึ้นกว่าปกติ นั่นก็เพราะผู้ผลิตนำเอารสชาติหวานมาทดแทนความหอมมันที่ขาดหายไป ดังนั้นสาวๆที่โปรดปรานการกินอาหารหรือขนมประเภทไร้ไขมัน จึงควรสังเกตดูให้ดีๆ ว่าตัวเราเองกำลังติดหวานเพราะสิ่งนี้หรือไม่
6. ชอบกินอาหารและขนมที่มีส่วนประกอบของแป้งเป็นหลัก
แป้งหรือคาร์โบไฮเดรตที่เรารับประทานเข้าไป เมื่อผ่านการย่อยแล้วก็จะกลายเป็นน้ำตาล การที่รับประทานอาหารและขนมประเภทแป้งอยู่ตลอดวัน แม้ในช่วงเวลาที่ท้องอิ่ม ก็เป็นอีกข้อที่บ่งบอกว่าเรากำลังเกิดอาการติดหวาน อันจะส่งผลให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพตามมาอีกมากมาย
7. มีอาการอ่อนเพลียตลอดวัน
รู้หรือไม่ว่าการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป จะทำให้ร่างกายของเราปฏิเสธอาหารจำพวกโปรตีน และนั่นเองที่ทำให้ขาดสารอาหาร ส่งผลให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เนื่องจากโปรตีนเป็นสารอาหารหลักสำคัญที่ให้พลังงาน รวมไปถึงซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอภายในร่างกาย เมื่อร่างกายของเราขาดโปรตีนจึงก่อให้เกิดอาการอ่อนเพลียมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง
8. อารมณ์ดีหลังการรับประทานของหวาน
เวลาที่เครียด ร่างกายจะมีความต้องการการเสพของหวานมากขึ้นเป็นเท่าตัว ไม่ว่าจะเป็นกาแฟเย็น ชาเย็น ชาดำเย็น หรือขนมหวานต่างๆ ยิ่งถ้าหากสาวๆ อารมณ์ดีขึ้นทันทีหลังการกินของหวาน รวมทั้งเพรียกหาของหวานกินทุกครั้งที่เกิดความเครียดด้วยแล้วล่ะก็ นั่นหมายความว่าเรากำลังเกิดอาการติดหวานเข้าแล้ว
9. คิดช้าลง หลงลืมมากขึ้น
รู้หรือไม่ว่าปริมาณน้ำตาลในร่างกายที่มากเกินความจำเป็น จะเข้าไปลดจำนวนโปรตีนในสมองของสาวๆ ซึ่งจะส่งผลต่อระบบความคิดและความจำของเรา ทำให้สาวๆ คิดคำนวณได้ช้าลง รวมทั้งหลงลืมเรื่องราวต่างๆ รอบตัวมากขึ้น อีกทั้งยังส่งผลให้มีเปอร์เซ็นต์ในการเป็นโรคอัลไซเมอร์มากขึ้นอีกด้วย
10. ปวดฟัน ฟันผุ เป็นโรคในช่องปาก
เรียนวิชาสุขศึกษากันมาตั้งแต่เด็กแล้วว่า การกินของหวานแล้วไม่แปรงฟันจะทำให้ฟันผุ ทว่าการรับประทานของหวานมากจนเกินไปถึงขั้นเกิดอาการติดหวาน ก็สามารถทำให้สาวๆ ฟันผุ ปวดฟัน และเป็นโรคในช่องปากได้ เนื่องจากน้ำตาลที่เข้าไปสะสมอยู่ในช่องปากและตามซอกฟันของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว กว่าจะกลับบ้านมาแปรงฟันแบคทีเรียมากมายก็ก่อตัวขึ้นลงหลักปักฐานในช่องปากของเราแล้ว
ภาพปกประกอบจาก : pinterest.com,pinterest.com