มะเร็งตับ โรคร้ายที่ไม่ควรมองข้าม อย่าปล่อยให้มะเร็งตัวร้ายทำลายสุขภาพก่อนสายจนเกินเยียวยา ด้วยการเช็กสัญญาณเบื้องต้นของโรคมะเร็งตับ ถ้าหากคุณมีอาการตามนี้หลายข้อ รีบพบแพทย์ด่วนเลย !
โรคมะเร็งตับ เป็นโรคที่มีความร้ายแรงต่อสุขภาพ อีกทั้งยังเป็นมะเร็งที่พบได้มากเป็นอันดับต้นๆ ของทั้งเพศชายและเพศหญิง ซึ่งโรคมะเร็งชนิดนี้มีอาการลุกลามค่อนข้างรวดเร็วและมีโอกาสหายขาดน้อยมาก กว่าที่ผู้ป่วยจะรู้ว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งตับก็แทบจะอยู่ในระยะที่รุนแรงมากแล้ว แต่ใช่ว่าโรคนี้จะไม่สามารถรับมือได้ เพราะถ้าหากเรารู้สัญญาณเตือนหรืออาการเริ่มแรกของโรคมะเร็งตับ ก็จะช่วยให้เราได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและเพิ่มอัตราการอยู่รอดได้ นี่คือ 10 สัญญาณเตือนโรคมะเร็งตับที่สังเกตได้ง่ายๆ และไม่ควรละเลย เพราะสุขภาพของเราเป็นเรื่องสำคัญกว่าที่คิด
1. คลื่นไส้บ่อยๆ
อาการคลื่นไส้บ่อยๆ จนผิดปกติ ถือว่าเป็นสัญญาณแรกๆ ของโรคมะเร็งตับ เพราะเมื่อระบบการทำงานของตับเริ่มล้มเหลว ร่างกายก็จะไม่สามารถขจัดสารพิษในร่างกายออกไปได้ดีเท่าที่ควร ส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียน อีกทั้งเนื้องอกที่เกิดขึ้นบริเวณตับก็จะผลิตฮอร์โมนบางชนิดที่ทำให้เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูง อันเป็นสาเหตุให้อาการคลื่นไส้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นอีกด้วย
2. ปวดท้องด้านขวาผิดปกติ
โรคมะเร็งตับในระยะเริ่มต้น อาจก่อให้เกิดอาการปวดท้องด้านขวาอย่างรุนแรงได้ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเกิดจากเนื้องอกที่เป็นมะเร็งเจริญเติบโตขึ้นในช่องท้องและทำให้เกิดความดันในช่องท้องมากขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้รู้สึกปวดท้องและอาการเจ็บที่ช่องท้องร่วมกับอาการสะอึกเรื้อรัง นอกจากนี้ยังอาจพบอาการตับบวมโตที่สามารถส่งผลให้เกิดอาการปวดบริเวณไหล่ขวา เนื่องจากตับไปทับเส้นประสาทบริเวณกระบังลมที่เชื่อมโยงกับระบบประสาทบริเวณไหล่ด้วยค่ะ
3. อิ่มเร็ว เบื่ออาหาร
โรคมะเร็งตับจะส่งผลให้ร่างกายรู้สึกอิ่มเร็วขึ้นกว่าปกติ เพราะเมื่อตับถูกจู่โจมด้วยเซลล์มะเร็ง ประสิทธิภาพในการทำงานของตับก็จะลดลง จึงส่งผลให้ของเหลวไหลเข้าสู่ช่องท้องทำให้กินได้น้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น อีกทั้งเซลล์มะเร็งยังไปทำให้ร่างกายเผาผลาญได้น้อยลง แล้วเมื่อร่างกายไม่ได้รับการเผาผลาญที่เป็นปกติ ความอยากอาหารก็จะลดลงตามด้วยเช่นกัน
4. น้ำหนักลด
เมื่อเซลล์มะเร็งเริ่มจู่โจมร่างกายจนทำให้ความอยากอาหารลดลง สิ่งที่จะตามมาก็คือน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากร่างกายไม่ได้รับอาหารอย่างเพียงพอ แต่ทั้งนี้การที่น้ำหนักลดก็ไม่ได้เป็นสัญญาณของโรคมะเร็งเพียงอย่างเดียว แต่ยังอาจเป็นสัญญาณของโรคอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตับ ดังนั้นจึงควรสังเกตอาการอื่นๆ ร่วมด้วย และควรไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยให้ชัดเจน
5. มีอาการคัน
อาการคันเป็นอาการที่มักเกิดขึ้นกับโรคมะเร็งหลายๆ ชนิด แม้ว่าจะไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่ผู้เชี่ยวชาญก็สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากสารบางชนิดที่แพร่กระจายออกมาจากเนื้องอกที่เป็นมะเร็ง แต่ในกรณีของโรคมะเร็งตับ ได้มีการคาดการณ์ว่าอาการคันน่าจะเกิดจากน้ำดีในร่างกาย ซึ่งอาการคันของโรคมะเร็งตับจะเริ่มทุเลาลงเมื่อได้รับการรักษาที่เหมาะสม
6. อ่อนเพลีย
อาการอ่อนเพลียเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคมะเร็งหลายชนิด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือโรคมะเร็งตับ นั่นก็เป็นเพราะว่าเมื่อเกิดเซลล์มะเร็งขึ้นในร่างกาย บรรดาเซลล์เหล่านั้นก็จะเข้าไปก่อกวนการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย อีกทั้งอาการเจ็บปวดและไม่สบายเนื้อสบายตัวที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณรู้สึกอ่อนเพลียอีกด้วย ดังนั้นถ้าหากคุณเกิดมีอาการอ่อนเพลียในระหว่างวัน หรือไม่มีแรงแม้แต่จะทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ นั่นก็เป็นสัญญาณให้คุณได้ทราบแล้วว่าคุณควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนค่ะ
7. ตาเหลือง ตัวเหลือง
เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าอาการตัวเหลืองนั้นเป็นอาการของดีซ่าน ซึ่งเป็นอีกอาการหนึ่งที่เกิดขึ้นได้กับตับ แต่รู้หรือไม่ว่าอาการดีซ่านก็อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งตับได้เช่นกัน นั่นก็เป็นเพราะว่าเมื่อตับของเราอ่อนแอลงเพราะโรคมะเร็ง ตับก็จะไม่สามารถกำจัดสารบิลิรูบิน (Bilirubin) ที่ถูกกรองออกมาจากกระแสเลือดได้ดีเท่าที่ควร ส่งผลให้สารดังกล่าวตกค้างและกระจายไปตามเนื้อเยื่อต่างๆ จนทำให้เกิดอาการดีซ่านนั่นเอง
8. ตับโต
ตับที่บวมโตมากกว่าปกติเป็นอาการที่แสดงให้เห็นในเบื้องต้นว่าอาจเกิดความผิดปกติกับตับ อย่างเช่น โรคตับอักเสบ โรคเลือดหรือโรคมะเร็งตับ แต่ทั้งนี้จะสันนิษฐานว่าเป็นมะเร็งตับได้หรือไม่ ก็ต้องวินิจฉัยร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น เนื้องอก หรืออาการที่เกิดขึ้นเฉียบพลันอื่นๆ
9. เป็นท้องมาน
อาการท้องมานคืออาการที่เกิดจากความผิดปกติในหลอดเลือดและต่อมน้ำเหลืองทำให้มีของเหลวคั่งในช่องท้องเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดอาการบวมน้ำ ซึ่งสำหรับโรคมะเร็งตับแล้ว อาการท้องมานเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ เนื่องจากเซลล์มะเร็งที่แพร่กระจายจะเข้าไปทำให้เกิดแรงดันในหลอดเลือดมากขึ้น หรือเข้าไปทำให้ระบบน้ำเหลืองทำงานผิดปกติจนมีของเหลวจำนวนมากในช่องท้อง ซึ่งอาการนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์เท่านั้น โดยแพทย์จะต้องเจาะช่องท้องเพื่อระบายของเหลวออกมาค่ะ
10. เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี หรือ ซี
โรคไวรัสตับอักเสบบี และโรคไวรัสตับอักเสบซี ล้วนสามารถเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งตับได้ จึงทำให้ผู้ที่เป็นโรคตับอักเสบทั้ง 2 ชนิดนี้ หรือผู้ที่เป็นพาหะ มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งตับสูงกว่าคนปกติกว่า 200 เท่า ดังนั้นหากคุณเคยมีประวัติเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี หรือซี ควรตรวจเลือดอย่างน้อยปีละครั้ง และหมั่นดูแลสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ
แม้โรคมะเร็งจะเป็นโรคร้ายที่น่ากลัว แต่ถ้าหากเราหมั่นดูแลสุขภาพของตัวเอง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่สุ่มเสี่ยงต่อโรค ก็จะช่วยป้องกันเราจากโรคมะเร็งได้ ไม่มีใครที่จะปกป้องเราจากโรคภัยต่างๆ ได้ หากเราไม่ทำด้วยตัวเองนะคะ