สำหรับการได้รับวิตามินซีอย่างเป็นประจำ มีส่วนช่วยให้ผิวขาวใสได้จริง นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้ผิวเนียนนุ่มลื่นขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยชะลอความแก้ มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง และยังช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนชั้นใต้ผิวได้เป็นอย่างดี
วันนี้เราได้นำกระทู้ดีๆจาก คุณซาลาเปาแก้มกลม สาวเภสัชกรที่ได้เขียนรีวิวให้ความรู้เกี่ยวกับวิตามินลงในเว็บไซต์พันทิป ซึ่งดีมากๆ มาให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ
สวัสดีจ้าเพื่อนๆ พันทิพ หลังจากจดๆ จ้องๆ อยู่นาน จะประเดิมตั้งกระทู้แรกของตัวเอง (จริงๆ แอบส่อง แอบอ่านมาน้านนาน ไม่ได้ตั้งเองซะที) ก็ถึงคราวซักที กับกระทู้ที่เราคิดว่าเป็นประโยชน์ และได้ใช้ความรู้ของเราเองให้คำแนะนำเพื่อนๆ นั่นคือการรีวิวเจ้า “วิตามินซี” วิตามินสุดฮ็อตที่ถูกถามถึงมากมายยามอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยแบบนี้
อ้อ…ร่ายมาย่อหน้านึง ก็ลืมแนะนำตัวเองเนอะ ว่าเราเป็นเภสัชกรที่ร้านขายยาแห่งหนึ่ง (ไม่ขอเอ่ยนามนะจ๊ะ ^^) ยืนร้านช่วงนี้ ก็จะมีคนมาถามไถ่ถึงวิตามินซีกันเยอะ เพราะสมัยนี้นอกจากเรื่องยาแล้ว อาหารเสริมอย่างวิตามินเนี่ย ก็มีคนแวะเวียนมาถามเภสัชอย่างเรากันเป็นประจำ และโดยส่วนตัวก็ลองมาหลายยี่ห้ออยู่เหมือนกัน
ไม่ชักช้าร่ำไรละ เรามาเข้าเรื่องวิตามินซีพระเอกของวันนี้กันดีฝ่า…
ขอเริ่มจากประโยชน์ของเจ้าวิตามินซี หรือ Ascorbic acid ซึ่งเป็นวิตามินที่มีประโยชน์อยู่เยอะมากมาย ที่เด่นๆ ก็เช่น
1.สามารถช่วยป้องกันหวัดได้
หากทานเป็นวิตามินซีประจำ จะช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของการเป็นหวัดแต่ละครั้งได้ค่ะ
**ขออธิบายเพิ่มเติมนะคะ ในความหมายคือ จะช่วยลดระยะเวลาในการเป็นหวัดต่อครั้ง และสามารถลดความรุนแรงในการเป็นหวัดได้ด้วยค่ะแต่ก็ไม่ได้ความว่า คนที่เป็นหวัดอยู่เมื่อทานวิตามินซีแล้วจะหายจากหวัดนะคะ**
2.เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยอนุมูลอิสระสามารถเป็นปัจจัยกระตุ้นในการสร้างเม็ดสีผิว
วิตามินซีจึงมีส่วนทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้นด้วยนะคะ
3.ช่วยในการสร้างคอลลาเจน
4.ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อในร่างกาย และทำให้แผลหายเร็วขึ้นค่ะ
มาดูในเรื่องขนาดของวิตามินซีกันค่ะ
โดยปกติแล้วแต่ละคนจะต้องการวิตามินซีในปริมาณที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับสภาวะร่างกายของแต่ละคน รวมกับเพศและวัยด้วย ซึ่งในสภาวะปกติร่างกายจะต้องการเพียงวันละ 60 มิลลิกรัม แต่การรับประทานในขนาดที่มากขึ้นนั้น ก็เพราะเพื่อหวังผลในการรักษาหรือป้องกันโรค(อาจรับประทานได้สูงถึงวันละ 2000 มิลลิกรัม) งั้นขอสรุปง่ายๆเลยละกัน วิตามินซีนั้นโดยปกติผู้ชายมีความต้องการมากกว่าเพศหญิง (สำหรับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรนั้น ก็จะต้องการวิตามินซีมากกว่าปกติ)
สำหรับคำถามที่ว่าคนป่วยทานบ่อยได้มั้ย บอกเลยค่ะว่าได้ เพราะ เนื่องจากเป็นวิตามินที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ และยังเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ก็จะทำให้ไม่สะสมในร่างกาย โดยจะขับออกทางปัสสาวะ แต่ผู้ที่รับประทานจะต้องไม่มีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับไตด้วยนะคะ เพราะสำหรับคนที่เป็นโรคไตการรับประทานวิตามินซีในขนาดที่สูงต่อวัน และทานติดต่อกันนานๆ จะทำให้อาการของโรคแย่ลงและเกิดนิ่วในไตได้ค๊า
เนื่องจาก วิตามินซี หรือ Ascorbic acid เป็นสารที่มีความคงตัวต่ำ
(นั่นคือไวต่อแสง ความร้อน อากาศ และความเป็นกรดด่าง) และเป็นสารที่มีสภาวะเป็นกรด ทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ เพราะแบบนี้เลยทำให้รูปแบบของวิตามินซีที่มีขายในท้องตลาด ส่วนใหญ่มักจะทำในรูปของเกลือแอสคอเบต(Ascorbate salt) เช่น เมื่อนำ Ascorbic acid รวมกับแคลเซียม ก็จะกลายเป็น Calcium ascorbate หรือเมื่อรวมกับโซเดียม ก็จะกลายเป็น Sodium ascorbate เป็นต้น ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยเพิ่มความคงตัว และการดูดซึมของวิตามินซี พร้อมทั้งยังลดสภาวะความเป็นกรดได้อีกด้วยค่ะ
โดยทั่วไป ส่วนประกอบของวิตามินซี ในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มักจะมีหลากหลายสูตร แต่ถ้าถามถึงสูตรที่มีความใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด ก็ควรจะเป็นสูตรที่มีสารสำคัญ 2 ตัวนี้รวมอยู่ด้วย
1) Bioflavonoids : Citrus, Hesperidin, Rutin เป็นต้น โดยเป็นสารที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซีเข้าสู่ร่างกายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินซี
2) Rosehips : เป็นสารสกัดจากผลกุหลาบ ซึ่งมี สารต่างๆมากมายรวมทั้งยังมีBioflavonoids ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซีได้ดีขึ้น และถือเป็นแหล่งของวิตามินซีตามธรรมชาติที่ดีที่สุดค่ะ
ดังนั้นวันนี้เลยจะขอยกตัวอย่างเพื่อเปรียบเทียบวิตามินซี ที่อยู่ในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีอยู่ในท้องตลาด ว่ายี่ห้อใดมีส่วนประกอบสำคัญครบถ้วนตามที่กล่าวไว้ข้างต้น
Blackmores Bio C 1000 mg
Blackmores แบรนด์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพภายใต้วิถีธรรมชาติ ที่ก่อตั้งมานานกว่า 80 ปี จาก ประเทศ Australia แบรนด์แรกๆ ที่เข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทยภายใต้ผลิตภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยาวนานกว่า 20 ปี
ส่วนใหญ่ลูกค้ามักจะมาถามแบรนด์นี้เป็นอันดับต้นๆ เนื่องจากมั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ได้ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบและการควบคุมการผลิตตามมาตรฐานวิธีการผลิตที่ดีระดับสากลมาอย่างยาวนาน ที่เรียกว่า มาตรฐาน GMP PIC/s ภายใต้การกำกับดูแลของ TGA ประเทศออสเตรเลีย และเป็นมาตรฐานการผลิตยาตามมาตรฐานยาของสหภาพยุโรป และยังมีมาตรฐานการผลิตที่มีมาตรฐานสูงตามข้อกำหนดของ Blackmores
ภายใต้มาตรฐาน GMP : Good Manufacturing Practice และ PIC/S
(PIC/S-Pharmaceutical Inspection Co-operation Scheme: ข้อกำหนดอนุสัญญาระหว่างประเทศ ด้านการตรวจประเมินยาแห่งสหภาพยุโรป) เมื่อใช้ทั้งมาตรฐานและข้อกำหนดร่วมกัน การดำเนินงานจะครอบคลุมกระบวนการผลิตในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การพิจารณาเลือกซื้อวัตถุดิบ จนถึงการจัดเก็บและส่งสินค้าสำเร็จรูปให้กับลูกค้า รวมทั้งยังให้ความสนใจในสภาวะแวดล้อมของการทำงาน เพื่อลดความเสี่ยงของการปนเปื้อนจากสภาวะแวดล้อมสู่ผลิตภัณฑ์ ) พร้อมทั้งยังการันตีด้วยการได้รับรางวัล Australia “s Most Trusted Brand in the Vitamins & Supplements category ติดต่อกันถึง 6 ปี (2009-2014)
คราวนี้มาดูที่ส่วนประกอบหลักกันบ้าง
Total Vitamin C 1000 mg
From Ascorbic acid 400mg
Sodium Ascorbate 350 mg
equiv. to Ascorbic acid 300 mg
Calcium Ascorbate 400 mg
equiv. to Ascorbic acid 300 mg
Rose hips extract equivalent dry fruit 250 mg
Bioflavonoids 25 mg
Rutin 50mg
Hesperidin 50mg
Acerola extract equivalent dry fruit 50 mg
จากส่วนประกอบข้างต้นจะเห็นว่า เป็นสูตรวิตามินซีที่มีความใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด โดยมีทั้ง Bioflavonoids และ Rosehips และมี Acerola extract ซึ่งเป็นผลไม้ที่ให้ปริมาณวิตามินซีมากที่สุด เมื่อเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น
คราวนี้มาดูที่ลักษณะภายนอกของเม็ดยากันบ้าง จะเห็นได้ว่าเม็ดยาเป็นชนิด Film coated ซึ่งการเคลือบด้วยฟิล์มนั้นมีประโยชน์ในการเพิ่มความทนทานให้กับเม็ดยา , เพิ่มความคงตัว โดยสามารถป้องกันเม็ดยาจากแสง ความชื้น และการเกิด oxidation บรรจุภัณฑ์ของ Blackmores จะเป็นขวดแก้วสีชา ซึ่งเหมาะสมกับการเก็บรักษายา หรือสารเคมี เนื่องจากคุณสมบัติเฉพาะตัวของแก้ว ดังต่อไปนี้
1.มีความเป็นกลาง ไม่ทำปฏิกิริยากับผลิตภัณฑ์ที่บรรจุภายใน เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความปลอดภัยสูงสุด
2.สามารถทนความร้อนสูง และเย็นจัดได้ และยังป้องกันการซึมผ่านของก๊าซและไอน้ำได้ดี
3.มีความคงทนทางกายภาพและทางเคมี ยากแก่การกัดกร่อน
4.มีความคงทนต่อการเสื่อมสภาพ
5.ลดผลของแสงที่จะไปทำให้สารเคมีที่บรรจุด้านในเสื่อม
NAT C 1000 mg
MEGA เป็นอีกแบรนด์หนึ่งที่เริ่มเข้ามาตีตลาดในประเทศไทยหลัง Blackmore ถึงแม้จะเป็นแบรนด์ที่มีฐานการผลิตอยู่ที่ประเทศไทย แต่ผลิตผลิตภัณฑ์ด้วยระบบการควบคุมคุณภาพ
ภายใต้หลักเกณฑ์การผลิตมาตรฐานสากล Good Manufacturing Practice (GMP)
และยังได้รับรางวัล “อย. Quality Award ปี 2009
เรามาดูที่ส่วนประกอบหลักกันบ้าง
Total Vitamin C 1000 mg
From Ascorbic acid 400 mg
Sodium Ascorbate 350 mg equiv. to Ascorbic acid 300 mg
Calcium Ascorbate 400 mg equiv. to Ascorbic acid 300 mg
Rose hips extract 62.5 mg equivalent dry fruit 250mg
Citrus Bioflavonoids 50mg
Rutin 50 mg
Hesperidin 50 mg
Acerola extract 12.5 mg
equivalent dry fruit 50 mg
จากส่วนประกอบและลักษณะภายนอกของเม็ดยาจะเห็นได้ว่า เป็นสูตรวิตามินซีที่มีความใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด และลักษณะภายนอกของเม็ดยานั้น เป็นเม็ดยาชนิด Film coated
บรรจุภัณฑ์ของ MEGA จะเลือกใช้ขวดพลาสติกในการบรรจุผลิตภัณฑ์ โดยคุณสมบัติของพลาสติกมีดังต่อไปนี้
1.มีน้ำหนักเบา พกพาสะดวก
2.ไอน้ำซึมผ่านได้น้อย แต่จะยอมให้ก๊าซซึมผ่านได้
3.ทนความเป็นกรดได้ปานกลาง
4.ไม่สามารถทนต่อความร้อนสูงหรือความเย็นจัดได้
** เมื่อเปรียบเทียบระหว่างภาชนะบรรจุที่ทำจากแก้ว และพลาสติก จะเห็นได้ว่าบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติกนั้นมีข้อเสียคือ อาจจะทำให้ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายในเกิดความชื้นได้ง่าย ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์เสื่อมสภาพได้ **
ACEROLA CHERRY 1000 mg
VISTRA แบรนด์ไทยน้องใหม่ที่กำลังเข้ามาตีตลาดอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกมากมาย พร้อมทั้งราคาย่อมเยา และผลิตผลิตภัณฑ์ด้วยระบบการควบคุมคุณภาพ
ภายใต้หลักเกณฑ์ การผลิตมาตรฐานตาม GMP ซึ่งมีการจ้างบริษัทในไทย 2 บริษัทในการผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ Vistra
VISTRA แบรนด์ไทยน้องใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้ามาในตลาดผลิตภันฑ์เสริมอาหาร เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกมากมาย พร้อมทั้งราคาย่อมเยา และผลิตผลิตภัณฑ์ด้วยระบบการควบคุมคุณภาพ ภายใต้หลักเกณฑ์การผลิตมาตรฐานสากล Good Manufacturing Practice (GMP) ต่อไปเรามาดูที่ส่วนประกอบหลักกันบ้าง
ACEROLA CHERRY EXTRACT 1000mg
Citrus Bioflavonoids 80 mg
Pomegranate 60 mg
Grape Seed extract 40 mg
Beta Carotene 10% 30 mg
Lycopene 30 mg
จากส่วนประกอบหลักข้างต้น จะเห็นได้ว่าสูตรของ VISTRA นั้นไม่เหมือนกับ สองแบรนด์แรก โดยจะมีสารสำคัญที่เป็นสารหลัก นั่นคือ Acerola cherry ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีปริมาณวิตามินซีมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่นในปริมาณที่เท่ากัน บางคนอาจจะยังงงๆ งั้นจะขออธิบายเพิ่มเติมว่า ผล Acerola cherry 100 กรัม จะให้ปริมาณวิตามินซี 1000-4500 มิลลิกรัม , ฝรั่ง 100 g ต้องเท่ากับ 228 มิลลิกรัม ดังนั้นการที่มี Acerola cherry extract 1000 มิลลิกรัม ไม่ได้แปลว่าจะมีปริมาณวิตามินซี 1000 mg เพราะสารสกัด 1 กรัม จะเทียบเท่ากับผลประมาณ 4 กรัม ซึ่งจะมีวิตามินซีเพียง 40-180 มิลลิกรัมเท่านั้น และยังผลิตวิตามินซีที่ไม่ได้อยู่ในรูปของเกลือแอสคอเบต ซึ่งจะทำให้มีผลเรื่องการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร รวมทั้งอาจเสื่อมคุณภาพได้เร็วอีกด้วย
ต่อมาเรามาดูที่ลักษณะภายนอกของเม็ดยากันบ้าง เม็ดยาเป็นชนิด Film coated เช่นเดียวกันกับ Blackmores และ MEGA
ส่วนบรรจุภัณฑ์ของ Vistra ใช้เป็นขวดแก้วสีชา เช่นเดียวกับ Blackmores
นั่นหมายถึง ถ้าใส่ acerola cherry extract 1000 mg หรือ 1 g จะเทียบเท่ากับ acerola cherry dry fruit 4000 mg หรือ 4 g ซึ่งจะให้ปริมาณต่ำสุดที่ 40 mg of vitamin C
ทั้งนี้ก็ขึ้นกับ spec of acerola cherry extract ว่าเขาใช้ที่มากกว่า 4% หรือไม่ แต่โดยรวมก็ต้องไม่เกิน 60 mg of vitamin C/day ซึ่งก็เข้าตาม maximum of Thai RDI ที่กำหนดให้มีวิตามินซีในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่เกิน 60 mg ต่อวัน
วันนี้ก็ขอจบการนำเสนอข้อมูลผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เพราะมีอยู่หลากหลายยี่ห้อมากๆ ซึ่งแต่ละยี่ห้อมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน
สุดท้ายนี้อยากฝากไว้ว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นเพียงอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภค แต่อย่างไรก็ตามเราควรที่จะรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ด้วย อย่าหวังพึ่งเพียงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเท่านั้น