ช่วงหลายปีมานี้เทรนด์รักสุขภาพกำลังได้รับความนิยมมากในไทย หลายคนหันมาใส่ใจสุขภาพของตนเองมากขึ้น ทั้งการออกกำลังกาย กินคลีน ลดน้ำหนัก เพื่อให้สุขภาพดีและมีร่างกายแข็งแรงด้วย ซึ่งเทรนด์ลดน้ำหนักที่กำลังมาแรงที่สุดตอนนี้นอกจากออกกำลังกายคงหนีไม่พ้นวิธีการลดน้ำหนักแบบ IF แม้แต่ดาราฮอลลิวู้ดหรือเหล่าเซเลบริตี้คนดังเองก็นิยมใช้วิธีนี้ลดน้ำหนักเช่นกัน น่าสนใจใช่ไหมล่ะคะว่าทำไมดาราและเซเลบถึงได้นิยมใช้วิธีนี้กัน วันนี้ GangBeauty จะพาสาวทุกคคนมาทำความรู้จักวิธีลดน้ำหนักแบบ IF กันเถอะค่ะ
IF (Intermittent Fasting) คืออะไร?
Intermittent Fasting หรือเรียกย่อๆ ว่า IF คือวิธีลดน้ำหนักโดยการกินอาหารแบบจำกัดช่วงเวลา โดยแบ่งการกินออกเป็น 2 ช่วง คือ
- ช่วงเวลาอด (Fasting) เป็นช่วงที่จะไม่กินอะไรเลย ทานเฉพาะน้ำเปล่า หรือเครื่องดื่มที่มีแคลอรี่ต่ำ
- ช่วงเวลากิน (feeding) เป็นช่วงที่กินได้ตามสบาย แต่ควรกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มีสารอาหารครบถ้วนที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกาย
การทำ IF ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร?
หลักการทำงานของ IF คือ ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในกับร่างกายค่ะ ช่วงที่เราอดอาหาร ระดับอินซูลินในร่างกายจะลดลง และระดับ Growth Hormone จะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่ง Growth Hormone จะไปช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานแทนช่วงที่ไม่ได้รับพลังงานจากอาหาร โดยการอดอาหารระยะสั้นสลับกันไปมาในลักษณะนี้
จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญของร่างกายได้ถึง 3.6-14% เลยทีเดียวค่ะ เมื่อร่างกายเผาผลาญไขมันออกไป ไขมันที่สะสมตามรอบเอวจึงลดไปด้วย การทำ IF จึงช่วยลดน้ำหนัก ลดไขมันในร่างกาย ทำให้หุ่นดีและมีสุขภาพดีขึ้น
วิธีกินอาหารตามช่วงเวลาแบบ IF
การกินแบบ IF ที่ได้รับความนิยม มีทั้งหมด 6 แบบ
1. Leangains (16/8)
คือ ช่วงเวลาอด 16 ชม. ช่วงเวลากิน 8 ชม. วิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดค่ะ เพราะทำได้ง่าย สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง และไม่กระทบต่อชีวิตประจำวันมากเกินไป
2. Fast Five (19/5)
วิธีนี้จะเพิ่มระดับความยากขึ้นมาอีกนิด โดยมีช่วงเวลาการอด 19 ชม. และช่วงเวลาการกิน 5 ชม.
3. Eat Stop Eat
ช่วงเวลาอดอด 24 ชั่วโมง (1 วัน) ทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ วันที่ไม่ได้ทำสามารถกินได้ตามปกติ วิธีนี้วัดใจกันไปเลย เพราะต้องอดอาหารทั้งวัน พอยิ่งหิวจะยิ่งทำให้เรากินมากขึ้นในวันถัดไป
4. 5:2
วิธีนี้สำหรับคนไม่อยากอดอาหาร โดยจะกินแบบปกติ 5 วัน และกินแบบ Fasting 2 วัน โดยจะทำติดกัน 2 วันหรือห่างกันก็ได้ ช่วงที่กินแบบ Fasting ต้องควบคุมปริมาณแคลอรี่ต่อวันซี่งไม่ควรเกิน 500-600 แคลอรี่
5. The Warrior Diet
ช่วงเวลาอด 20 ชั่วโมง ช่วงเวลากิน 4 ชั่วโมง หมายความว่าใน 1 วัน เรากินอาหารได้แค่มื้อเดียว ซึ่งวิธีนี้จะคล้ายเวลาฉันอาหารของพระสงฆ์ หรือถือศีลอดของชาวมุสลิม
6. ADF (Alternate Day Fasting)
วิธีนี้จะอดอาหารแบบวันเว้นวัน คือ อดอาหาร 1 วัน และกินอาหาร 1 วัน แบบนี้สลับกันไป
ข้อดีและข้อเสียของการลดน้ำหนักแบบ IF
ใครที่ท้อกับการออกกำลังกายลดหุ่น วิธีลดน้ำหนักแบบ IF ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้น้ำหนักลดลงอย่างเห็นได้จริง แถมจะเลือกกินอะไรก็ได้ ไม่ต้องกังวลว่าต้องกินคลีน หรือทานแต่ผักผลไม้เท่านั้น เพียงแต่ต้องกินสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามที่ร่างกายต้องการ ซึ่งการลดน้ำหนักแบบ IF เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมืองหรือมนุษย์ออฟฟิศเป็นอย่างมาก เพราะไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายและเตรียมอาหาร แต่การลดน้ำหนักวิธีนี้ก็มีข้อเสียเหมือนกันเพราะต้องอดอาหาร ทำให้หิวมากจนอาจตบะแตกกินมากกว่าเดิมได้ และยังเสี่ยงต่อการขาดสารอาหาร นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน และเสี่ยงต่อการสูญเสียกล้ามเนื้อได้เช่นกันค่ะ
วิธีลดน้ำหนักแบบ IF ไม่เหมาะกับใคร
แม้การลดน้ำหนักแบบ IF จะเห็นผลได้จริง แต่วิธีนี้ก็อาจไม่ได้เหมาะกับทุกคนนะคะ โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัว เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตต่ำ เด็กวัยเจริญเติบโต ผู้หญิงที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ ผู้ที่ขาดสารอาหาร และสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ หากใครเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงนี้ไม่ควรลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้เด็ดขาด
สำหรับใครที่อยากลดน้ำหนักด้วยวิธีลดน้ำหนักแบบ IF ก็ลองศึกษาข้อมูลดีๆ นะคะ แล้วเลือกวิธีที่เหมาะสมกับเรา หรือจะปรึกษากับเทรนเนอร์หรือผู้ที่มีความรู้เรื่องนี้ก็ได้ และอย่าลืมออกกำลังกายกระชับกล้ามเนื้อพร้อมทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ด้วยนะคะ